ทอม แฮงคส์ คว้าออสก้าร์นำชาย 2 ปีซ้อน ในหนัง Philadelphia (1993) และ Forrest Gump (1994)
จากหนังเกี่ยวกับผู้ป่วยเอดส์ทั้งคู่ โดยหนังเรื่อง Forrest Gump นั้นอาจไม่ได้เจาะลึกเกี่ยวกับผู้ติดเชื้อ HIV แต่สำหรับ Philadelphia นี่คือหนังที่พูดถึงโรคเอดส์โดยตรง ซึ่งในยุคนั้นฮอลลีวู้ดรณรงค์กันมากในเรื่องการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับเอดส์ ว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดกัน มีหนังที่พยายามพูดถึงโรคเอดส์ออกมาหลายเรื่อง
แต่ชัดเจนสุดเห็นจะเป็น Philadelphia เรื่องนี้เอง เพราะมีสองนักแสดงเจ้าบทบาท ทอม แฮงคส์ ประชันบทบาทกับ เดนเซล วอชิงตัน ซึ่งถือเป็นตัวพ่อของฝั่งขาว หนังใหม่เต็มเรื่อง ฝั่งดำของฮอลลีวู้ด Philadelphia คือเรื่องของ แอนดรูว์ แบ็คเก็ตต์ ทนายความจากสำนักทนายความยักษ์ใหญ่ ที่พบว่าตัวเองติดเอดส์ แล้วโดนบีบให้ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม
เขาจึงลุกขึ้นมาสู้คดี ฟ้องบริษัททนายความซะเอง เพราะแม้เขาจะเป็นเอดส์ แต่ความเก่งกาจในการว่าความของเขายังใช้การได้ดี ที่โดนบีบออกนั้นเพราะเขาทำงานห่วย หรือเพราะคนในบริษัทรังเกียจเขากันแน่ เขามีทนายผิวสีคอยช่วยเหลืออยู่เคียงข้าง ซึ่งทนายผิวสีก็เจอปัญหาถูกเหยียดผิวเช่นกัน พร้อมกันนั้นยังมีชายหนุ่ม
คนรักของ แอนดรูว์ แบ็คเก็ตต์ ผู้ที่รู้ทั้งรู้ว่าคนรักเป็นเอดส์ แต่ก็ยังคอยเคียงข้างเสมอ หนังแยกประเด็นออกหลายๆประเด็น แต่ยิงได้ตรงทุกจุด ทั้งเรื่องความรักร่วมเพศ เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อ HIV หรือกระทั่งเรื่องกระบวนการการต่อสู้คดีต่างๆกับองค์กรกฏหมายยักษ์ใหญ่ นี่คืออีกหนึ่งงานมาสเตอร์พีชที่พยายามทำความเข้าใจ
กับประเด็นหลายๆอย่างที่สังคมหวาดกลัว ให้รับรู้ว่าโรคเอดส์ หรือ การรักร่วมเพศ ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจอย่างที่คิด ซึ่งหนังเรื่องนี้เป็นกระแสพอสมควร หนังออนไลน์ ที่ทำให้คนทั้งโลกเข้าใจในโรคติดต่อทางเพศมากขึ้น หนังทุนเพียง 26 ล้านเหรียญ จากฝีมือผู้กำกับ โจนาธาน เดมมี่ แห่ง The Silence of the Lambs เครดิตงานเก่าที่ทำให้ดารานำยอมลดค่าตัว
เพื่อร่วมงาน มันทำรายได้ไปทั้งสิ้น 206 ล้านเหรียญ หนังปี 1993 ผ่านไป 28 ปี อาจเป็นหนังเก่าไปสำหรับใครบางคนจากประเทศโลกที่สามบางประเทศ ที่ยังคงมองว่าโรคเอดส์เป็นสิ่งน่าหวาดผวา
Comments