จั่วหัวไว้ก่อนเลย ว่าชอบครึ่งแรกของหนังมาก แต่ช่วงท้ายๆกูอยากตีมือผู้กำกับ เผื่อใครไม่ชอบอ่านยาวๆ
ถือเป็นเรื่องที่ดีที่หนังไม่พยายามไปเค้นให้ จา พนม ของเราเค้นดราม่า หรือพูดอะไรเยอะแยะนอกจากการแสดงออกผ่านสรีระอย่างที่ควรจะเป็น เพราะ จา พนม เกิดมาเพื่อใช้ร่างกาย สื่อสารกับคนทั้งโลก ก่อนดู Monster Hunter
ส่วนตัวเผื่อใจไว้บ้างแล้ว ว่าเราจะไม่ได้เจอหนังที่ลุ่มลึกอะไร แค่ดูเอามันส์ก็เป็นอันพอ ปรากฏว่าครึ่งแรกของหนังนั้นมีกลิ่นอายของ Resident Evil ภาคแรก งานเก่าของผู้กำกับอยู่พอสมควร เพราะการเข้าเล่นงานคนดูด้วยอันตรายรอบด้านแบบไม่บันยะบันยังไม่ปราณีจนตัวละครสะบักสะบอมตายตกตามกันไปแทบหมด มันคือจุดขายของหนัง Monster อยู่แล้ว ซึ่งก็ได้ตามนั้น ผู้กำกับสนุกมือกับการทรมานเมียให้คนดูมาก สัตว์ประหลาดที่โผล่มาทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ทางรอด น่วมไปกับตัวละครอาร์เธมิส ที่รับบทโดย มิลล่า โจโววิช ซึ่งหาได้ไม่บ่อยที่จะเห็นเธอน่วมแบบนี้ในยุคหลังๆ เพราะใน ดูหนังออนไลน์ Resident Evil ภาคหลังๆแม่งเก่งจนแทบไม่มีเหี้ยไรทำร้ายนางได้ อันนี้เหมือนพาเจ๊แกกลับมาเป็นผู้เป็นคน เลือดตกยางออกได้ มิลล่า โจโนวิช เป็นเมียผู้กำกับ จนกระทั่งหนังเปิดตัวไอ้ทิ้ง เอ๊ย!! The Hunter หนังก็เข้าสู่โหมดผ่อนคลาย อุ่นใจ เพราะบทนักล่าแย้ของพี่จานี่เก่งมาก แต่หากมองเอาจริงเอาจังแล้ว แม่งเหมือนเขียนบทให้ตัวละครในหนังไทย แนวบ้านนอกเข้ากรุง ซื่อๆเซ่อๆยังไงไม่รู้ ทั้งที่ในโลกคู่ขนานนั่นเขาคือระดับนักล่าไหวพริบและสกิลโหด แต่พอมาเจอนางเอกเสือกกลายร่างเป็นไอ้บ้านนอก ป่าเถื่อน ไม่รู้อะไรเลยนอกจากการต่อสู้ โอเคนี่คือบทที่เหมาะกับพี่จา แต่ตามท้องเรื่องแล้ว The Hunter ไม่ได้เซ่อๆซ่าๆแบบนี้แน่นอนถ้านึกถึงหลักความจริงที่เขาเอาตัวรอดจากโลกของเขาได้ แต่นั่นก็แค่การหงุดหงิดกับความไม่สมเหตุสมผลของบท เพราะพี่จาเล่นบทนี้ได้สนุกดี คิดเสียว่าเป็นไอ้ทิ้ง องค์บาก เวอร์ชั่นล่าแย้ คือไม่ต้องพูดอะไรมาก สู้อย่างเดียว สื่อสารกับนางเอกก็ใช้ภาษามืออะไรไป ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ดูเพลินตากว่าตอนที่แกพยายามเค้นดราม่าในหนังไทยเรื่องก่อนๆของแกอีก ตรงนี้ผู้กำกับรู้ว่าควรใช้งานคนอย่างโทนี่ จา ยังไง แกเป็นสายบู๊ สายฮาได้ ก็ต้องใช้งานตามนั้น
พูดถึง Monster จริงๆ มันไม่ได้มากันหลายสายพันธุ์อย่างที่คิดไว้
แต่อันตรายทุกตัว โดยเฉพาะพวกแมงมุมนี่คือหลอนใช้ได้ ลุ้นได้พอสมควรกับช่วงแรกๆของหนัง CGI ถือว่าไม่ขี้เหร่ ทว่าพอหนังเดินเรื่องมาถึงช่วงเลยกลางเรื่องมานิดหน่อย หนังเหมือนหมดพลังไปดื้อๆ ราวกับว่ากำลังนั่งดู Resident Evil ภาคหลังๆที่ออกทะเลไปไกล ทั้งที่กูชอบภาคแรกมากๆ
เลยติ๊ต่างเอาเองว่าครึ่งแรกของหนัง Monster Hunter คือ Resident Evil ภาคแรก ส่วนครึ่งหลังก็คือ ภาคหลังๆที่เริ่มเลอะเทอะนั่นแหละ นี่ถ้าคุมโทนให้ออกมาได้แบบครึ่งแรกทั้งหมด เชื่อว่าหนังจะเกิดกว่านี้ ไม่รู้เพราะปัญหางบประมาณ หรือคิวนักแสดงด้วยรึเปล่า เลยเหมือนทำลวกๆให้จบๆไป โคตรเสียดายตอนต้นของมันมาก ถ้าให้เดาก็น่าจะไปเสียงบตรง CGI นี่แหละเยอะ เพราะทำได้เนียนจริงๆ ในรายของ มิลล่า โจโนวิช ถ้าไม่นับว่างานหลังๆเน้นเล่นแต่หนังผัวตัวเองแบบเลอะเทอะไปหน่อย เจ๊แกใน เว็บดูหนัง Monster Hunter นี้ถือว่าแอบโชว์สกิลคาแร็คเตอร์สาวแกร่งทรงสเน่ ทรงซ้อ ได้เท่เหมือนกัน เจ๊จะออกแนว อลิซ ใน Resident Evil ภาคแรกๆ คือยังมีความกลัว ความสะบักสะบอมให้เห็น แล้วเคมีเข้ากันกับ โทนี่ จา ของเราอย่างน่าประหลาด เอาจริงๆตอนฉายแรกๆในต่างประเทศ หนังโดนถล่มยับกว่านี้อีก โดยเฉพาะในเว็บมะเขือเน่า แต่ประหลาดมากที่ตอนนี้เปอร์เซ็นต์นักวิจารณ์ที่ชอบเสือกเริ่มตีตื้นขึ้นมาหน่อยจนเกือบๆจะสดแล้ว มีนักวิจารณ์บางคนเอ่ยชมความสัมพันธ์ของ มิลล่า และ พี่จา ในเรื่องด้วยว่าน่ารักและอบอุ่นดี ซึ่งโดยส่วนตัวถือว่าเขามองถูกแล้ว เพราะหัวใจของหนังบางเรื่องมันไม่ใช่การแสดงดราม่าแบบเทพๆน้ำตาสั่งได้ แต่หัวใจจริงๆคือเคมีที่เข้ากันของนักแสดงที่รับส่งกัน แม้ไม่ใช่สายรางวี่รางวัลอะไร แต่พอ มิลล่า กับ พี่จา อยู่ด้วยกันมันสร้างมวลบางอย่างให้คนดูรู้ว่าคนสองคนนี้คือตัวลุย
และลูกหาบของกันและกัน เท่านี้ก็ถือว่าผ่านแล้ว ส่วนภาพรวมของหนังก็อย่างที่บอกไปคือ ช่วงแรกมันส์มาก ลุ้นเหนื่อยไปหมด แต่ช่วงท้ายๆแม่งไม่ใส่ใจทำเอาซะเลย ทำให้ความสนุกของครึ่งแรกต้องแปดเปื้อนไปด้วยเลยจริงๆ
Comments