นี่คือหนังที่ใช้ประโยชน์งานด้านภาพ และสถานที่ได้น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างได้ผล
ดังนั้นการรับชมในโรงภาพยนตร์คืออะไรที่พลาดไม่ได้ เพราะมวลบรรยากาศโทนอึมครึมคืออีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ขับเคลื่อนให้คนดูเกิดความไม่ชอบมาพากล แม้แต่ในเวลากลางวันแสกๆเราก็มิอาจไว้ใจอะไรๆได้เลย ระหว่างดูยังนั่งนึกอยู่ในใจว่า อินโดนีเซีย แม่งจะเป็นประเทศสุดท้ายที่กูอยากไปเยือนแน่นอน (จริงๆคือคิดตั้งแต่ดู The Raid แล้ว)
หนังใช้สถานการณ์คับขันเข้าคุกคามคนดูตั้งแต่ซีนเปิดกันเลย ซึ่งถือว่าได้สร้างมิติใหม่ และควรจะมีนักทำหนังบนโลกนี้ทำมาตั้งนานแล้ว นั่นคือสถานการณ์คับขันในป้อมเก็บค่าผ่านทางด่วน เคยคิดเล่นๆเหมือนกันว่าคนทำงานอาชีพนี้จะเคยเจออะไรแบบนี้มั้ย ดูหนังฟรี Impetigore เรื่องนี้จึงจัดให้เน้นๆ ราวกับจะโชว์เทคนิคงานกำกับฉากเขย่าขวัญในเมืองไปก่อน ก่อนที่จะนำพาผู้ชมเข้าสู่หมู่บ้านชนบทอันห่างไกล ที่ทุกผืนดิน ต้นไม้ ใบหญ้า ฯลฯ สามารถทำให้เราขนลุกได้แม้ไม่ต้องมีผีโผล่มาซักตัว ออกตัวไว้เลยว่านี่ไม่ใช่หนังผี เพราะผีในเรื่องอาจเป็นแค่องค์ประกอบร่วมของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลในกลไกของ ชนชั้นสูง ชนชั้นใต้บังคับบัญชา คำสาป ความเชื่อ พิธีกรรม และ ผู้คน กลายเป็นว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าภูติผีทั้งหมดทั้งมวล ก็คือคนด้วยกันนี่แหละ คนที่มาในรูปแบบผู้สูงศักดิ์ เรื่องราวความฉาวๆใคร่ๆดำมืดของชนชั้นสูง ส่งผลให้ชนชั้นล่าง ชนชั้นใต้บังคับบัญชา กลายเป็นบ้าเป็นป่วงกันไปหมด คำสาปในหนังจึงมีสภาพไม่ต่างจากความเชื่อที่ถูกโปรแกรมฝังใส่หัว ให้ทำลายคนอีกฝั่งอย่างอำมหิต และปัญหามันอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากชนชั้นสูงฝ่ายเดียว
หนังอาจมีบทสรุปที่มีกลิ่นละครไทยโชยมาหึ่งๆไปบ้าง แม้จะเป็นบทสรุปที่ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
แต่ก็แอบผิดหวังนิดๆเหมือนกันที่หนังมันไม่เล่นงานคนดูด้วยบทสรุปที่บ้าคลั่งหรือหักมุมกว่านี้ เอาจริงๆมันก็ไม่ได้เป็นบาดแผลอะไรของหนัง เพียงแต่ว่ามาได้ขนาดนี้แล้วแต่หนังกลับผ่อนสปีด รวบตัดจบจนลดทอนอะไรต่อมิอะไรที่หนังโปรยทางมาตั้งแต่ต้น นี่เป็นหนังที่พูดถึงคำสาปที่ในเชิงเปรียบเปรย อาจไม่มีใครผิดแท้ 100%
คำสาปที่ผู้คนยอมทำตามแต่โดยดีแม้สิ่งที่ทำจะเป็นความอำมหิตผิดมนุษย์ก็ตาม คำสาปอันเกิดจากความรัก ความฉาวโฉ่ และความกดทับ กดดันของผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อมันหยั่งรากลงลึกนานชั่วนาตาปี มันจึงยากที่จะถอนขึ้นมาแล้วทำความเข้าใจใหม่ เวรกรรมจึงตกไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อๆกันไปไม่จบไม่สิ้น เชื่อมั้ยว่าหนังไทยเราเคยทำอะไรแบบนี้มานานแล้ว แต่ยุคนี้ไม่ทำกันแล้ว ไปวิ่งตาม หนังใหม่ชนโรง เจมส์ วาน กันหมด แต่ไม่เป็นไร กูมาหวังเอากับหนังอินโดนีเซียก็ได้ เพราะมวลบรรยากาศคล้ายกัน รวมถึงนักแสดงก็เหมือนๆคนไทยแถบภาคใต้บ้านเรานี่แหละ เลยเหมือนได้ดูหนังไทยยุค คนเล่นของ , ผีสามบาท , เปนชู้กับผี ฯลฯ อะไรพวกนี้ไปโดยปริยาย มีคนบอก โจโก อันวาร์ เป็น เจมส์ วาน แห่งอินโดนีเซีย
แต่กูค้านหัวชนฝาว่า โจโก อันวาร์ ทำหนังได้น่ากลัวกว่า เจมส์ วาน และถ้าจะเอาใกล้เคียงกันจริงๆ ขอยกให้เขาเป็น นา ฮงจิน(The Wailing)แห่งอินโด และงานของเขาทำให้กูนั่งเศร้าที่หนังไทยมีอะไรๆหลายอย่างเหมือนๆอินโด แต่คนไทยไม่ยอมทำหนังแบบนี้ออกมาในยุคนี้
Comments