เชื่อมั้ยว่าการเจ๊งบ๊งของ Watchmen (2009) นี่แหละทำให้ Warner หลอนมาจนทุกวันนี้
ในการที่จะทำหนังฮีโร่สักเรื่อง คือจะพยายามทำแบบเซฟๆไว้ก่อน ให้มันยืนอยู่บนพื้นฐานของหนังดูเอาสนุกที่สุด จะลุ่มลึกห่าเหวอะไรหรือเป็นขวัญใจนักวิจารณ์อะไรมึงค่อยไปทำในหนังแนวๆอื่น แต่ไม่ใช่กับหนังซูเปอร์ฮีโร่ นั่นเพราะว่าฐานแฟนของหนังแนวนี้มันมีตั้งแต่เด็กหมอยยังไม่ขึ้น เรื่อยไปจนถึงคนแก่หมอยร่วง
มันคืองานแนวมหาชนที่พ่อกับลูกจูงมือกันไปดูได้ ไม่ใช่ทางฝั่งพ่อนั่งฟิน แต่ลูกแม่งหลับคาโรง อันที่จริงตอน แซ็ค สไนเดอร์ ทำ Man of steel นั้น เขายังมีอะไรขัดแย้งกับ Warner อยู่เยอะ เพราะในขณะที่ แซ็ค สไนเดอร์ ต้องการดำดิ่งลงไปสำรวจจิตใจของชายผู้สวมกางเกงในไว้ด้านนอก แต่สตูดิโอบอก มึงยังไม่เข็ดกับ Watchmen อีกหรือไง ดำดิ่งจนคนแม่งไม่ดู พูดแบบนั้นมันก็ไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะพื้นฐานฉบับการ์ตูนมันซับซ้อนไม่ใช่งานที่เด็กจะมานั่งดูเอามันส์อยู่แล้ว สตูดิโอควรคำนึงถึงข้อนี้ก่อนอนุมัตโปรเจ็ค แว่วมาว่า Warner เชื่อมั่นมากว่า ดูหนังออนไลน์ Watchmen จะต้องประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขาเคยได้รับชัยชนะจากหนังซูเปอร์ฮีโร่หม่นๆอย่าง The Dark Knight ของโนแลนมาแล้ว แต่โดยความคิดส่วนตัวแล้ว หนัง The Dark Knight แม้จะหม่นมืด แต่ก็ยังยืนบนพื้นฐานหนังตลาดดูเอามันส์อยู่ เป็นงานที่เพลย์เซฟที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน แล้ว ส่วน Watchmen นั้น ภายใต้ฉากที่ฉาบด้วยทุนสร้าง 140 ล้านเหรียญ พร้อมๆกับเทคนิคพิเศษตระการตา เมื่อกระเทาะเปลือกออกมาจริงๆ มันแทบจะคนละโซนกับหนังโนแลนเรื่องดังเลย Watchmen แอบเป็นงานส่วนตัวมากๆของ แซ็ค สไนเดอร์ ด้วยซ้ำ มันไม่ใช่หนังมหาชน และมันดำดิ่งกว่า The Dark Knight ไปหลายขุมในฐานะหนังเนื้อหาจริงจังที่ได้เรต R แต่หนัง Batman ของโนแลนได้แค่ PG-13 แน่นอนว่ามันเสี่ยงกว่ากันเยอะ แต่ทาง Warner ค่อนข้างมั่นใจว่า โลกพร้อมแล้วกับหนังซูเปอร์ฮีโร่หม่นมืดกว่า The Dark Knight การที่หนังเปิดตัว 55 ล้านเหรียญ เป็นอะไรที่ทางสตูดิโอ Warner ยิ้มแฉ่งพอๆกับโลโก้หน้ายิ้มสีเหลืองของหนัง Watchmen นั่นแหละ แต่เพราะหน้าหนังกับเนื้อในของหนังมันสวนทางกับความคิดของคนดู แม้คำวิจารณ์จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ก็ไม่สามารถดึงให้คนดูเกิดกระแสปากต่อปากได้ เพราะคนดูส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะได้เห็นกะเจี๊ยวมหึมาสีฟ้าของ ดร.แมนฮัทตัน แต่คนดูทั่วไปอยากดูหนังฮีโร่จริงจังสนุกๆแบบที่ The Dark knight เป็น จึงทำให้ Watchmen ทำรายได้ไปแค่ 185 ล้านเหรียญ ทั่วโลก เป็นโปรเจ็คเจ๊งบ๊งและผิดฟอร์มแห่งปี
มีคนวิเคราะห์ถึงสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น บางกลุ่มพูดถึงความดึงดูด ของนักแสดงยังไม่เบอร์ใหญ่พอ
นี่ถ้าได้ เจอราร์ด บัตเลอร์ มาร่วมแสดงสักคนจะยังพอเรียกแขกได้อยู่บ้าง เพราะช่วงนั้นเขาเพิ่งเนื้อหอมจากการรับบทเลโอไนดัสใน 300 หนังสร้างชื่ออีกเรื่องของ แซ็ค สไนเดอร์ แต่บทในหนัง Watchmen ไม่มีตัวไหนเหมาะกับพี่เจ๋ง บิ๊กแอส แห่งสก็อตแลนด์เลย และ แซ็ค สไนเดอร์ เลือกเองว่าจะไม่ใช่นักแสดงดังระดับ A list ในหนังของเขา
เพราะเดี๋ยวคนดูจะไม่โฟกัสไปที่บทหนัง จนกระทั่งเมื่อหนังเจ๊ง Warner จึงเกิดอาการขี้ขึ้นสมองมาจวบจนทุกวันนี้ พวกเขาไม่ทำหนังฮีโร่เครียดๆแนวเรต R อีก หรือถ้าจะเรต R ก็ให้มันยืนบนพื้นฐานหนังดูสนุก เราจึงได้เห็นทิศทางของ DC ที่ไม่มืดมนขึงขังมากพอ เพราะว่าทำมาเครียดๆหม่นๆพวกมึงก็ไม่ดูกัน มีคนส่วนน้อยที่ยอมจ่ายเงินให้หนังฮีโร่ที่มีแต่ตัวละครเทาๆไปถึงชั่วช้า แล้วมันจะเอาอะไรมาจรรโลงใจ เมื่อทำหนังเจ๊งให้ Warner แต่ แซ็ค สไนเดอร์ ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก Warner ให้สร้าง เว็บดูหนัง Man of steel เพราะถึงแม้ Watchmen จะขาดทุน แต่การยกย่องหนัง Watchmen แบบปากต่อปากในตอนที่ลงแผ่น DVD ทำให้หลายคนเสียดายที่ไม่ได้ดูในโรง และยกให้มันเป็นหนังฮีโร่ที่ดีมากๆ แต่ข้อแม้ที่พี่แซ็คไม่อาจปฏิเสธได้จากทาง Warner คือ ห้ามทำ Superman เวอร์ชั่นปีนกระไดดู ห้ามซีเรียส มืดมนมากไป และหนังต้องขายให้เด็กๆดูได้ด้วย จึงออกมาเป็น Man of steel อย่างที่เห็น หลังจากนั้นมา หนัง DC ในจักรวาลหลักก็ถูกคุมโทนให้ไม่หม่นมืดอย่างที่ แซ็ค สไนเดอร์ อยากทำ เราจึงได้เห็นข่าวความประสาทแดก ระแวดระวังไปเสียทุกอย่างของบอร์ดบริหาร Warner เพราะพวกเขากลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย Watchmen แม้กระทั่งหนังอย่าง Joker ที่ฟันกำไรและกระแสคำวิจารณ์ล้นหลาม ก็เคยถูกบอร์ดบริหาร Warner กดงบเพื่อให้โปรเจ็คล่ม ทว่าผู้กำกับ ทอดด์ ฟิลลิปส์ ก็สร้างมันออกมาบนพื้นฐานหนังอินดี้ แล้วโกยรายได้ไปมหาศาล แต่ในหนัง DC จักรวาลหลัก
เราน่าจะเห็นอะไรซีเรียสๆแค่ Man of steel ภาคแรกนั่นแหละ ซึ่งสำหรับบางคนแล้ว Man of steel มันก็ไม่ได้มืดมนอะไรขนาดนั้น ผู้คนโหยหาอะไรๆแบบ Watchmen เคยทำ แต่ Warner คงนึกในใจว่า เจ๊งขึ้นมาพวกมึงก็เป็นฝ่ายเสียค่าตั๋วแค่ไม่กี่ตังค์ พวกกูนี่สิโดนไปเต็มๆ
Comments