เห็น ทีเรี่ยน แลนนิสเตอร์ นั่งต่อปากต่อคำกับ โดมินิค โทเร็ตโต้
ก็ถือว่าสนุกแล้ว นี่คือ Find Me Guilty (2006)หนังแนว Courtroom drama ขึ้นโรงขึ้นศาลของผู้กำกับฯ ซิดนี่ย์ ลูเม็ต ผู้ล่วงลับ แต่ดูแล้วก็นั่งขำทรงผมพี่วิน ดีเซล ถึงขนาดมีนักวิจารณ์แซวแกมขอร้องว่าอย่าทำแบบนี้อีก แต่ต้องยอมรับว่านี่คือหนังที่ วิน ดีเซล โชว์สกิลการแสดงได้เป็นชิ้นเป็นอันที่สุดแล้วในเชิงดราม่า จริงๆหนังค่อนข้างตลกร้าย
แต่ทรงผมพี่วินตลกกว่า หนังมันพูดถึงเจ้าพ่อมาเฟียที่ขึ้นว่าความให้ตัวเองพ้นข้อกล่าวหาที่เขาไม่ได้ก่อ และ วิน ดีเซล ก็แสดงได้ดี พูดเป็นไฟแล่บต่างจากตอนเก๊กๆ ในหนัง Fast อย่างสิ้นเชิง (แสดงหนังดีๆก็ได้นี่หว่า) แต่คนดูแม่งสลัดไอ้ทรงผมฮาๆ ของแกไม่ออกสักที ดูหนังออนไลน์ เลยมีคนขอร้องแกว่าอย่าทำแบบนี้ในหนังเรื่องไหนอีก จริงๆพี่วินไม่ใช่คนหัวโกร๋น หัวโล้นอะไรหรอก แค่เถิกๆ แต่ด้วยความที่อยากเหี้ยม แกเลยโกนๆมันซะ เลยกลายเป็นภาพจำมาจนทุกวันนี้
ส่วนพี่ทีเรียน หรือ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ นั้นก่อนหน้านี้ ก็เป็นแค่ตัวตลกสังขารโผล่ในหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้
แล้วพี่แกตระหนักได้ว่ากูไม่ได้เกิดมาให้ใครสมเพชแล้วหัวเราะ จึงเลือกรับงานมากขึ้น และใน Find Me Guilty เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์เลยว่าแกมีค่ามากกว่าตลกตัวเตี้ยในหนัง เพราะบทในหนังเรื่องนี้รับส่งให้ วิน ดีเซล ได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงใหญ่ ห้าวทรงพลังต่างจากตัวเล็กๆของแกยิ่งนัก ส่งผลให้แกเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในหนังฮอลลีวู้ด
แต่บางครั้งก็ต้องรับเล่นบทตลกสังขารบ้างเพื่อให้มีพื้นที่ยืนในวงการ จนกระทั่งปี 2011 ปีเตอร์ ดิงค์เลจ ก็เอาชนะสังขารตัวเองได้สำเร็จ ไม่มีใครมองจุดด้อยของเขาอีกต่อไป เพราะบทบาทใน ซีรี่ย์ Netflix ซีรี่ส์ Game of Thrones ทำให้โลกรู้จักชายร่างเล็กทรงสเน่ห์ผู้นี้ แต่ถึงอย่างไรพอนึกถึงหนังเรื่องนี้ก็ยังอดขำทรงผมพี่วินไม่ได้อยู่ดี นี่คือการไว้ทรงผมในหนังครั้งแรกของพี่วิน เพราะหนังสร้างจากเรื่องจริงของมาเฟียคนหนึ่งที่ว่าความให้ตัวเอง ซึ่งตัวจริงเขามีผม พี่วินจึงต้องไว้ผมพร้อมกับแปะแฮร์พีช นิดหน่อยเพื่อให้คล้ายตัวจริง
แต่เราไม่น่าจะได้เห็นพี่วินมาเล่นอะไรแนวๆนี้ให้ดูแล้วล่ะ ส่วนพี่ปีเตอร์ช่วงหลังๆนี่เงียบไปเลย รอบทบาทพีคๆของแกมาก ปล. หาดูยากนะเรื่องนี้ แผ่นDVDยังหายาก แต่ใครเก่งภาษามึงหาดูในยูทู้บได้เลย
Comments