สิ่งที่ทำให้ซีนนี้ในหนัง "โป๊ะแตก แยกทางนรก" กลายเป็นตำนาน
คือวิธีกำกับ และศาสตร์การแสดงของทั้งสามคน พี่เท่ง พี่โหน่ง พี่โจอี้ บทถูกวางไว้หลวมๆแล้วให้ทั้งสามคนนั่งต่อไดอาล็อกกันแบบเรียลๆเหมือนคนนั่งพูดกันปรกติโดยไร้ฟีลการแสดง มันต่างกันกับที่พวกเขาแสดงในชิงร้อยชิงล้านหรือหนังเรื่องอื่นๆ เพราะบริบทเหตุการณ์นี้จริงๆมันคือการนั่งคุยกันระหว่างพักกองรอเข้าฉากหนังที่กำลังถ่ายกันเฉยๆ
บริบทคือทั้งสามคนนั่งพักระหว่างการถ่ายทำเพื่อรอเข้าฉากหนัง อารมณ์ฉากนี้เหมือนการตั้งกล้องไว้ถ่ายตอนที่สามคนนี้คุยหยอกเย้ากันธรรมดาๆ แต่เราจะสังเกตเห็นว่าในไดอาล็อกนั้นมีมุกเก่าที่เคยเล่นๆกันมาอยู่ โอเคมุก "พ่อมึงดิ" พี่โจอี้เล่นจนคนดูติดเป็นภาพจำแกไปแล้ว หนังใหม่เต็มเรื่อง "ดำพ่อมึงดิ" "ยุงพ่อมึงดิ" "ไม่ใช่พ่อกูนี่" มุกเหล่านี้เราจะคุ้นชินมันจากสถานการณ์ในหนัง แต่หมัดเด็ดมันอยู่ที่คนรับส่งต่อบทกันอย่าง พี่เท่ง พี่โหน่ง ซึ่งถ้าซีนนี้จงใจแสดงกันเกินไป มันจะออกมาเป็นการต่อมุกชงตบกันแบบหนังตลกเซ็ตสถานการณ์ทั่วไปและจะไม่เรียลแบบนี้แน่นอน แต่นี่มันคือการนั่งคุยเล่นกันระหว่างพัก แล้วการถ่ายคนนั่งคุยกันเล่นๆให้ออกมาดูสนุกได้แบบ Long take นี่แหละมันน่าจะยากกว่าการเซ็ตสถานการณ์เยอะเลย จะเอามุกที่เคยเล่นๆกันมาทำยังไงให้เหมือนนั่งคุยกันเฉยๆ
คงไม่ได้พูดเกินจริงไปนักหาก จะเอาการแสดงฉากนี้ ไปเทียบกับการแสดงเรียลๆ แบบ แบรด พิตต์
เพราะในขณะที่นั่งคุยๆต่อบทกัน พี่โหน่งก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ถูไม่ถูมืออะไรของแกไปเรื่อย ส่วนพี่เท่งก็ดูดน้ำบ้างอะไรบ้าง แบบที่ แบรด พิตต์ หรือ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ ชอบหาอะไรทำหาอะไรกินระหว่างการพูดไดอาล็อก ซึ่งเอาตรงๆ เป็นทางฝั่งพี่เท่ง พี่โหน่ง ด้วยซ้ำที่เรียลกว่า เพราะเหมือนไม่ได้อยู่ในบริบทของการแสดง
แค่เป็นแค่การนั่งคุยกันไหลไปเรื่อยๆ แต่ขั้นตอนการถ่ายทำนั้นก็เหมือนถ่ายหนังจริงๆทุกอย่าง มีผู้กำกับ มีทีมงานหน้าเซ็ตเหมือนหนังปรกตินี่แหละ ในหนังละครบ้านเราส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครทำ ยิ่งเป็นหนังตลกยิ่งต้องเซ็ตสถานการณ์ให้มุกเป๊ะๆ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย การพูดคุยกันแบบเรียลๆส่วนใหญ่ก็จะมีในหนังอินดี้ หนังพี่เจ้ย อภิชาติพงษ์ เว็บหนัง HD หนังเป็นเอก หนังเต๋อ นวพล อะไรพวกนี้ ที่เห็นได้ชัดเลยคือฉาก ซันนี่ ยืนคุยกับ ใหม่ ดาวิกา หน้าโรงบาล นั่นคือเป็นการยืนคุยกันจริงๆเรียลๆไม่ใช่การพยายามแสดง ซึ่งพอย้อนกลับมาที่ฉากยุงแอฟริกาของ โป๊ะแตก เรื่องนี้ เราจะพบว่าการแสดงยังไงให้ไม่เหมือนแสดง มันคือศาสตร์ที่หากไม่เก่งจริง ไม่สามารถทำได้ ในรายของพี่โจอี้นั้นอาจจะดูแสดงไปบ้าง แต่ในรายของพี่เท่งพี่โหน่งนั้น บอกเลยว่าแกได้โชว์สกิลความเป็นนักแสดงแบบธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องพยายามตลกก็สามารถให้คนดูฮาหงายท้องได้ มันจึงทำให้ฉากนี้เป็นตำนานที่กดดูซ้ำได้ไม่เบื่อเลย
และเครดิตหลักๆอีกคนต้องยกให้พี่หม่ำ จ๊กมก ผู้กำกับของหนังที่บรีฟบทได้แบบเข้าใจบริบทการนั่งพูดเล่นหัวกันระหว่างพักกองรอเข้าฉากจริงๆ สมกับที่เป็นหนังสไตล์หนังซ้อนหนังอย่างที่แกตั้งใจทำจริงๆ
Commentaires