top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนโทนี่ กระต๊าก

The Trial of the Chicago 7 (2020) netflix 9/10 คะแนน

หนังพาเราย้อนกลับไปเหตุการณ์คดีดังในชิคาโกปี 1968

เมื่อพลเมืองอเมริกาจากหลายกลุ่มหลายรัฐ เดินเท้าประท้วงต่อต้านการส่งทหารอเมริกันไปรบ แบบไม่เป็นธรรมในสงครามเวียดนาม ซึ่งการจราจลเกิดขึ้นในระหว่างการประชุมเลือกตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครทในชิคาโก พลเมือง 8 คนจากหลายกลุ่มทั้ง ปัญญาชน ฮิปปี้ กลุ่มคนดำ รวมไปถึงกลุ่มสิทธิสตรี


ถูกจับขึ้นศาลในข้อหายุยงปลุกปั่น โดย 1 ใน 8 เป็นหนึ่งในกลุ่มคนดำถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเจ้าหน้าที่ไปแล้ว เหลืออีก 7 คนที่กำลังถูกพิพากษา พวกเขาต้องขึ้นศาลพร้อมๆกัน โดยมีเพียงทนายอาสา ซึ่งต้องต่อสู้กับศาลที่ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด และระหว่างการต่อสู้คดีพวกเขาก็ได้มีความขัดแย้งกันเองอยู่เป็นระยะๆ หนังเน้นไปที่การว่าความในชั้นศาลสลับกับภาพเหตุการณ์ ดูหนังฟรี ในการประท้วง จราจล โดยมีภาพเหตุการณ์จริงแทรกมาให้เห็นเป็นระยะๆ มีตัวชูโรงเป็นปัญญาชนนักต่อสู้คนดังอย่าง ทอม เฮย์เดน(เอ็ดดี เรดเมนย์) เขาเป็นนักต่อสู้สไตล์สันติวิธี โดยมี แอ็บบี ฮอฟฟ์แมน (ซาชา บารอน โคเอน) เป็นขั้วตรงข้าม ตัวแทนนักต่อสู้สายฮิปปี้ กักขฬะ กวนบาทา พวกเขาต้องร่วมมือกัน แต่แทบไม่มีทางสู้กับระบอบและความเอียงขวาของศาลเลย หนังรัวบทสนทนาใส่คนดูไม่ยั้งตามสไตล์หนัง อารอน ซอร์กิน แต่แทบไม่มีจุดน่าเบื่อเลย บทสนทนาฟาดฟัน เสียดสี ราวกับว่ากำลังดูหนังแอ็คชั่น ต้องยกเครดิตให้ทีมนักแสดงที่ต่างทำหน้าที่ของตนได้ไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะจอมแย่งซีนอย่าง ซาชา บารอน โคเอน ที่พร้อมจะฟาดรางวัลทุกเวทีหากเขามีชื่อเข้าชิงในฐานะดาราสมทบ หนังยังมี โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ในบททนายของรัฐสุดเนี้ยบ ที่ต้องมาฟาดฟันกับทนายอาสาที่รับบทโดย มาร์ค ไรแลนซ์ (ตัวนี้ชอบมาก เป็นอีกหมัดเด็ดของหนัง)

ดูหนังฟรี

ท้ายที่สุดแล้วหนังก็ไม่ได้เข้าข้างฝั่งประชาชนอย่างสุดโต่ง

ยังมีการตั้งคำถามเชิงจิตวิทยาว่า ด้วยการควบคุมฝูงชน ของผู้เป็นแกนนำประท้วง ว่าคุณชุมนุมอย่างสันติจริงๆ หรือสุมไฟให้ลุกลามจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งถือเป็นประเด็นแตกย่อยออกมาจากประเด็นหลักที่พูดถึงความเอียงกระเท่เร่ของศาลอีกที ณ ตรงนี้ถือว่าผู้กำกับ/เขียนบท อารอน ซอร์กิน ยังคงหาทางลงได้เหนือชั้น


แบบที่เคยทำให้คนดูทั้งรักทั้งชัง มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก มาแล้วใน The Social network คือไม่ได้ตัดสินฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้ถูกหรือผิด 100% หนังมีความทับซ้อนกับเหตุบ้านการเมืองในไทยตอนนี้มาก คล้ายจนน่าตกใจ แต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวเพราะบ้านเรากับบ้านเขามีระบอบการปกครองที่ต่างกัน มีคำถามหนึ่งที่ตัวละครถามกันในศาลประมาณว่า "เรามีวิธีการกำจัดระบอบเลวๆลงได้ยังไง" หนังออนไลน์ ตัวละครอีกตัวตอบว่า " เราทำมันทุกๆสี่ปี " เป็นบทที่คมเข้าฝักมาก ถ้าคิดตามได้ทัน จะเก็ตว่าหมายถึงการเลือกตั้งทุกๆสี่ปี ซึ่งน่าเศร้าที่บ้านเรา การเลือกตั้งก็เน่าเฟะ โกงกันซึ่งๆหน้า และการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่างๆมันน่าเหนื่อยใจกว่าประเทศที่มีแค่ผู้นำสูงสุดเป็นประธานาธิบดีคนเดียวเยอะ "เราแบกเอาอุดมการณ์ข้ามรัฐ ไม่ได้แบกปืนกล ยาเสพติดหรือเด็กผู้หญิง เรามีแค่อุดมการณ์ เรามีเพียงอุดมการณ์ และเพราะเหตุนั้น เราจึงได้รับทั้งแก๊สน้ำตา ทั้งโดนทำร้าย โดนจับ และโดนขึ้นศาล" นี่คือส่วนหนึ่งของคำให้การจากหนึ่งในผู้ประท้วงที่ปรากฏในหนัง ซึ่งมันทำให้สะอื้นจุกข้างใน ยิ่งได้เห็นฉากที่มีบางคนพยายามปกป้องธงชาติสหรัฐแบบดัดจริต หรือฉากยืนเคารพเพลงชาติสหรัฐของกลุ่มแกนนำผู้ประท้วงที่แค่เห็นเพลงชาติในทีวีพวกเขาก็พร้อมใจกันยืนตรง นี่หรือคือคนชังชาติในสายตารัฐ ดูสองสามฉากนี้แล้วยิ่งสะท้อนถึงบ้านเมืองเราในปัจจุบันจนน่าขนลุก ไม่มีใครไม่รักชาติ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะแสดงออกความรักชาติแบบใด หนังดูไม่ยาก ส่วนตัวแล้วก่อนดูแอบไปทำการบ้านโดยการหาข้อมูลคร่าวๆมาก่อน จึงสนุกกับหนังแม้จะพ่นบทสนทนากันหูดับตับไหม้ก็ตาม เพราะโดยส่วนตัวชื่นชอบหนังแนว Courtroom Drama อยู่แล้ว หดหู่นิดๆที่หนังไม่ได้ติดอันดับ Top list ของ Netflix ในไทย ทั้งที่มันเป็นหนังที่คนไทยควรดู ตั๋วร้อนก็ทำได้แค่เป็นกระบอกเสียงเล็กๆเชื้อเชิญให้แฟนเพจลองเปิดใจดูหนังเรื่องนี้


เรามาทำให้หนังเรื่องนี้ติด Top ใน Netflix กันเถอะ 100 อันดับแรกก็ยังดี หักไปคะแนนนึงเพราะ อารอน ซอร์กิน เลือกที่จะใช้ดนตรีบิ๊ลท์อารมณ์ในหลายๆฉากจนเกินจำเป็น บางทีดนตรีก็ทำให้การสาดใส่อารมณ์ของนักแสดงหมดความขลัง​

ดู 7 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


โพสต์: Blog2_Post
bottom of page