ดูหนัง Mosul ใน Netflix จบแล้ว มีคนรอบกายหลายคนบ่นปอดแปดว่า หนังไม่เดือดเท่าที่ควร
ทั้งที่หนังแนวๆนี้มันน่าจะจบลงที่ความพังพินาศ สร้างความฮึกเหิม เดือดทะลัก เลือดรักชาติเข้มข้น แต่หากมองเข้าไปถึง สาส์นที่หนังพยายามจะสื่อกับคนดูแล้วจะพบว่า หนังไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น เพราะโลกอันงดงามในหนังเรื่องนี้มันถูกสงครามพรากไปจนหมดสิ้น โลกที่บุหรี่หนึ่งแถวสามารถแลกซื้อหัวรบอาร์พีจีได้
และบุหรี่มีค่ามากกว่าเงิน แล้วจะให้มันพังไปอีกมากมายสักแค่ไหน ในเมื่อเมืองในหนังมันพังทลายไปแล้ว เหลือแต่เศษซากปรักหักพัง ทั้งตึกรามบ้านช่อง รวมไปจนถึงจิตใจคนที่เหมือนเสี่ยงจะโดนปืนโดนระเบิดตายกันได้ตลอดเวลา ดูหนังออนไลน์ หนังอ้างอิงจากเรื่องจริง มันพูดถึงการเดินทางไปทำภารกิจของหน่วยสวาทนิเนเวห์ หน่วยเดนตายที่มีกองกำลังแค่หยิบมือ พวกเขาฝ่าตะลุยไปในอิรักเพื่อปะทะกับกองกำลังโฉดไอซิส จากการนำของ ผู้พันจาเซม (ซูฮาลี แดบบาช จาก The Hurt Locker ) พวกเขาช่วยชีวิตตำรวจใหม่คนหนึ่งแล้วชักชวนเข้าหน่วย โดยที่ตำรวจหนุ่มยอมเข้าร่วมแต่โดยดี โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภารกิจที่หน่วยนี้กำลังทำมันคืออะไร ที่จะพูดถึงนี้คือตัวละคร "ผู้พันจาเซม" ผู้ซึ่งฉาบหน้าด้วยท่าทีแข็งกร้าว เป็นผู้นำที่พร้อมจะออกแนวหน้าก่อนลูกน้องเสมอ และในบางครั้งเขาเองก็ต้องคอยเฝ้าระวังหลังให้คนในทีม แม้กระทั่งการที่ลูกทีมทิ้งขยะเกลื่อนกลาด ผู้พันจาเซมก็ยังคอยตามเก็บไปทิ้งขยะให้ ขนาดไปเจรจาซื้อขายอาวุธ ในสถานการณ์ล่อแหลม ผู้พันจาเซมยังคงเก็บขยะไปโยนลงถัง เพราะในความคิดผู้พันจาเซม บ้านเมืองมันมีแต่เศษซากไปแล้ว ก็จะให้มันมีเศษขยะเพิ่มไปทำไม ตัวละครตัวนี้แคสมาดีมาก รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวบนจอ ความรู้สึกเหมือนตาแก่นี่ทำตัวเหมือน"พ่อ" พ่อที่ไม่ได้ตามโอ๋ลูก แต่พาลูกๆเรียนรู้และเผชิญกับอุปสรรคทั้งปวง พ่อที่ปกป้องลูกๆด้วยชีวิต พ่อที่คอยบ่น คอยตามล้างตามเช็ดให้ลูกๆ พ่อผู้จะไม่มีวันทิ้งลูกแม้แต่คนเดียว พ่อผู้ซึ่งยังนำพาลูกๆให้ศรัทธาพระเจ้า แล้วมองดูลูกๆจากไปอยู่กับพระเจ้าคนแล้วคนเล่า หนังมันไม่ได้พูดถึงภารกิจระดับชาติแบบเข้มข้น แม้สงครามที่พวกเขาเผชิญมันจะเกี่ยวเนื่องถึงความมั่นคงของชาติ แต่หน่วยสวาทนิเนเวห์ไม่ได้แยแสอะไรกับประเทศชาติสักเท่าไหร่ หน้าหนังมันทำให้คิดไปในทิศทางนั้น แต่เปล่าเลย
เพราะเมื่อหนังได้จบลง พร้อมๆกับอารมณ์คนดูก็จะประมาณ "จบแล้วจริงๆเหรอ?"
แต่ในทางกลับกันโดยส่วนตัวแล้วมันกลับกลายเป็นการสร้างความรู้สึกใหม่ๆในหนังสงครามสักเรื่อง และมันสอดคล้องกับความรู้สึกนึกถึง"พ่อ"ที่มีต่อผู้พันจาเซม พ่อที่ไม่ได้ยืนหยัดอุดมการณ์เพื่อชาติแบบเข้มข้น เพราะประเทศที่เขาอยู่มันพังไปแล้ว การเอาตัวรอดและพยายามมีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัว การปกป้องพวกพ้องนี่สิภารกิจของจริง
มีบางฉากที่ผู้พันจาเซมทำให้คนดูหรือแม้กระทั่งคนในทีมหงุดหงิดกับการพยายามช่วยเหลือเด็ก ทั้งที่เด็กไม่ต้องการ นี่จึงอาจเป็นหนังสงครามที่ไม่ได้เรียกความฮึกเหิม หรือความรักชาติใดๆแบบที่ สปีลเบิร์ก หรือ ซีรี่ย์ Netflix ไมเคิล เบย์ ทำไว้ก่อนหน้านี้ แต่มันคือหนังสงครามส่งเสริมสถาบันครอบครัว เน้นหนักไปที่ความมีกันและกันเข้าไว้ในยามที่สิ้นหวังไปแล้ว อาจไม่คุ้นชินกับคอหนังสงครามสไตล์ล้างผลาญ หรือหนังสงครามแอ็คชั่นที่เลือดต้องล้างด้วยเลือด เป็นหนังที่เดินเรื่องออกจะตรงๆทื่อๆด้วยซ้ำ แต่เมื่อดูจบแล้วตกผลึก หนังกลับให้ความรู้สึกต่างออกไป ต่อไปนี้คือสปอยล์เนื้อหาส่วนหนึ่ง เรามักจะเห็นหรือได้ยินข่าวการตายแปลกๆง่ายๆโง่ๆของพวกคนแก่ ไม่ว่าจะพ่อเราเอง ญาติผู้ใหญ่ พ่อเพื่อน หรือ คนแก่ในข่าว บางคนตายเพราะความดันขึ้นจากการบ่นใส่ลูก ทะเลาะกับลูก บางคนลื่นในห้องน้ำตาย บางคนนั่งอยู่ดีๆก็ตายคาวงข้าว นั่นแหละความรู้สึกที่มีต่อตัวละคร ผู้พันจาเซม คือเมื่อตัวละครตัวนี้ตายด้วยนิสัยคนแก่ที่เป็นคนเจ้าระเบียบ ภาพแฟลชแบ็คต่างๆของตัวละครตัวนี้ ตั้งแต่ต้นเรื่องจะย้อนกลับมาในหัวเป็นฉากๆ โดยอัตโนมัติ
มันทำให้เรานึกอุทานในใจ " พ่อเอ๊ย ไม่น่าเลย " หรือ " ตาลุงเอ๊ย ไม่น่าเลย " อย่างที่ในชีวิตจริงของเราที่ชอบพูดใส่คนแก่ที่ตายด้วยอะไรง่ายๆโง่ๆ แม้มันจะน่าใจหายและน่าสงสาร แต่ก็อดยิ้มกับความซวยนี้ไม่ได้เหมือนกัน
Comments